Beautiful Plants For Your Interior
Tag แม่กลอง
เรื่องเล่าของอัมพวาผ่านคนแจวเรือ
ก้าวตามความฝันของคนอัมพวากับนายกเต้ย
เรียนรู้อัมพวาที่เปลี่ยนไป ผ่านสายใยของ “รองยะ”
วิจัยสายน้ำไปกับ “กึกก้อง” ลูกหลานแม่กลองผู้อยากอยู่ร่วมกับน้ำอย่างมีความสุข
แม่กลอง สมุทรสงคราม
แม่กลองสายน้ำที่โอบอุ้มฝัน
ความผูกพันจากอัมพวาชัยพัฒนานุรักษ์ของ “รองยะ”
ไม้พาย สายน้ำ และการกลับบ้านของ “กิ๊ง Sweeep SUP House”
“ในวันนึงขอแค่ได้รับแรงกระเพื่อมจากน้ำ เราก็ดีใจแล้ว” หญิงสาวในชุด Wetsuit พูดด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่เธอมองไปยังสายน้ำแม่กลองที่กว้างใหญ่ “บางทีการเห็นสายน้ำกว้างๆ ก็เหมือนได้เติมพลังค่ะ” “กิ๊ง” หรือ “นวพร มากู่” หญิงสาวที่เติบโตในอัมพวา แม้เธอจะเรียนมาด้านวิศวกรรมศาสตร์ จากสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่การตัดสินใจมาเปิดธุรกิจพายเรือซับบอร์ดล่องแม่น้ำในชื่อ Sweeep SUP House ที่จังหวัดสมุทรสงครามบ้านเกิดอย่างจริงจัง ก็สร้างความแปลกใจว่า ทำไมเธอจึงเลือกเดินในเส้นทางของสายน้ำและตัดสินใจกลับบ้านแทนที่จะเติบโตเป็นวิศวกรในบริษัทใหญ่โตของเมืองหลวง “เรากลับมาอยู่ที่แม่กลอง ที่บ้านทำธุรกิจค้าขาย แต่พอกลับมาแล้วในคลองไม่มีคลื่นให้เล่นเซิร์ฟเหมือนในทะเล แต่อย่างน้อยที่สุดเราก็ยังพายซับบอร์ดได้ ก็เลยไปเรียนจริงจัง และมาเปิดเป็นธุรกิจ” จากสาวเซิร์ฟบอร์ดที่ต้องโต้คลื่นทะเลสีครามกลายมาเป็นการพายซับบอร์ดล่องแม่น้ำ แม้สภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป แต่ก็ไม่ได้ลดความท้าทายลงแม้แต่น้อย เพราะสภาพแวดล้อมของแม่น้ำแม่กลองนั้นก็มีความผัวผวนสูง และต้องอาศัยความช่างสังเกตเพื่อเรียนรู้และอยู่ร่วมกันกับสายน้ำ การมีชีวิตติดสายน้ำ สิ่งนี้ช่วยเสริมความหลงใหลต่อธรรมชาติที่ช่วยหล่อเลี้ยงชีวิต บวกกับพลังงานที่ล้นเหลือที่กิ๊งอยากจะลงมือทำอะไรบางอย่างร่วมกับชุมชนที่เธอมีความผูกพันธ์ตั้งแต่ครั้นยังเด็ก “เรามองว่าสมุทรสงคราม ไม่ได้เป็นทั้งเมืองอุตสาหกรรมหรือเป็นเมืองพักผ่อนยอดนิยมสำหรับคนไทยขนาดนั้น เพราะเราอาจจะ ไม่ได้มีทั้งภูเขา ไม่ได้มีเกาะ หาดสวย ๆ หรือทะเลที่มีปะการัง แต่สมุทรสงครามก็ยังมีธรรมชาติที่เคียงคู่กับวิถีชีวิตของผู้คน นี่คือสิ่งที่เรามีและโดดเด่นที่สุด มันคือ วิถีชีวิตริมน้ำ”…
อย่าเอาแค่ปลูก ต้องเรียนรู้ที่จะ “ซ่อมป่า”
ปัญหาคลื่นลม คลื่นทะเล ส่งผลกระทบกับชุมชนริมชายฝั่ง ทั้งความแปรปรวนทางธรรมชาติที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ และแรงปะทะของคลื่นทะเลที่ซัดอย่างต่อเนื่องก่อให้เกิดการกัดเซาะพื้นที่บริเวณริมชายฝั่ง เช่น กรณีของชุมชนบางบ่อ หมู่ 10 จ.สมุทรสงคราม ที่คนในชุมชนได้ประสบกับการกัดเซาะผิวดินซึ่งกินพื้นที่กว้างถึง 30 ไร่ ทำให้ชุมชนต้องอพยพครัวเรือนออกจากพื้นที่ การปลูกป่าชายเลนจึงเป็นปัจจัยสำคัญ เพราะเป็นแนวกั้นคลื่นลมทางธรรมชาติที่ช่วยลดการกัดเซาะผิวดินได้ จึงเกิดกระแสร่วมกันปลูกป่าชายเลนที่หลายคนอยากเข้ามามีส่วนร่วม และองค์กรต่าง ๆ ก็ยังนิยมจัดกิจกรรมเพื่อตอบแทนสังคม หรือ CSR จนบางครั้งก็เน้นไปที่การสร้างภาพลักษณ์โดยขาดการคำนึงถึงผลลัพธ์ในระยะยาว เพราะการปลูกต้นโกงกาง หรือแสมนั้น จำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด และละเอียดอ่อนกว่าที่คาดคิดไว้ “เรื่องปลูกป่าชายเลนไม่ใช่เรื่องยาก งานหินจริง ๆ คือการซ่อมป่ามากกว่า บางครั้งการทำกิจกรรมปลูกป่าแบบ CSR ที่จัดแล้วจบไป อาจไม่ทำให้เกิดแนวป่าชายเลนใหม่ขึ้นได้จริง ๆ เพราะเมื่อปลูกกันเสร็จแล้ว ถ่ายรูปแล้วแยกย้าย คำถามก็คือใครจะดูแลต้นกล้าเหล่านั้นกันต่อ” เสียงทุ้มต่ำของนักอนุรักษ์ป่าชายเลนที่ชาวบ้านเรียกขานว่า “ผู้ใหญ่แดง” หรือ วิสูตร นวมศิริ กล่าวขึ้นระหว่างมองแสงแรกในยามเช้าของป่าชายเลน เมื่อประกายแสงอ่อน ๆ อาบผิวกร้านแดด กร้านลมของนักอนุรักษ์แห่งสมุทรสงคราม “หมู่บ้านของเราประสบกับปัญหาการกัดเซาะมานานแล้ว…